ROI ย่อมาจาก Return on Investment เป็นตัวชี้วัดว่าเงินที่เราใช้ลงทุนไปนั้น กลับมาเป็นจำนวนเท่าไหร่ คุ้มค่ากับเงินที่ลงไปหรือไม่ มากน้อยเพียงใด
ถ้าเราใช้เงินเราลงทุนกับอะไรซักอย่าง เราก็คงอยากได้กำไรจากเงินที่เราลงทุนไปถูกมั้ยละ ? และยิ่งคุณแบ่งเงินลงทุนไปกับหลายอย่าง เช่น หุ้น ธุรกิจ ฯลฯ ดังนั้น การใช้ตัวชี้วัดนี้จะช่วยบวกคุณว่าเงินที่ลงทุนไปคุ้มค่าหรือไม่
ตัวชี้วัดนี้เป็นตัวที่กว้างที่สุด สามารถใช้คำนวนผลตอบแทนจากการลงทุนกับอะไรก็ได้
ROMI ย่อมาจาก Return on Marketing Investment เป็นตัวที่แคบลงมา ใช้คำนวนผลตอบแทนจากการลงทุนที่ลงไปในด้านของการตลาดทั้งหมด ซึ่งจะไม่คำนวนต้นทุนด้านสินค้า
ROAS ย่อมาจาก Return on Ad Spend เป็นตัวที่แคบลงมาอีก ใช้คำนวนผลตอบแทนจากการลงทุนที่ลงไปในด้านของการโฆษณา ซึ่งจะไม่คำนวนต้นทุนด้านสินค้าและต้นทุนด้านการตลาด คำนวนเพียงงบที่ลงไปในผู้ให้บริการโฆษณาลงโฆษณาเท่านั้น
หัวใจสำคัญเหมือนกันคือการหาความคุ้มค่า หรือกำไรที่ได้กลับมาจากการลงทุน ต่างกันเพียงการจับต้นทุนต่าง ๆ มาใช้ในการคำนวนหาผลตอบแทนจากการลงทุนที่ต่างกัน
ROI = (รายรับ - รายจ่าย) ÷ รายจ่าย
จากสูตรคือการนำรายรับลบกับรายจ่ายก่อน แล้วนำผลที่ได้มาหารกับรายจ่ายอีกครั้ง แต่ผลลัพทธ์จะไม่ออกมาเป็นเปอร์เซ็นแบบระบบคำนวนของเรา แต่ตัวเลขที่ได้นั้นบอกได้เป็นจำนวนเท่า เช่น
(500 - 100) ÷ 100 = 4
เท่ากับว่าผลลัพธ์คือ 4 เท่า ของรายจ่าย(เงินลงทุน)
เมื่อคุณจำเป็นต้องคำนวนตัวเลขที่มีจำนวนมาก และการลงทุนที่มาจากหลายส่วน เช่น คุณมี 5 ธุรกิจทำเงินหลายล้านต่อปี หรือโฆษณา 100 ตัวที่กำลังใช้งาน คุณจะไม่สามารถรู้ได้เลยว่าธุรกิจหรือ โฆษณาตัวไหนที่คุณลงทุนไปแล้วงอกเงยออกมาเป็นผลตอบแทน(กำไร)ถ้าคุณไม่วัดผลด้วย ROI และท้ายที่สุดแล้ว เมื่อคุณรู้ว่าสิ่งไหนได้ผลตอบแทนจากการลงทุนที่ไม่ดี คุณก็สามารถหยุดมันไว้ แล้วเอาเงินไปลงทุนกับสิ่งที่ให้ผลตอบแทนจากการลงทุนที่ดี
©Copyright 2024 by The Spidery. All rights reserved Privacy Policy